7 เคล็ดลับ ยิง Ads ยังไงให้ยอดขายหลักล้าน
อะไรคือสิ่งที่ทำให้โฆษณา Facebook Ads ของคุณมีคุณภาพกันล่ะ? หรือจะมีทางไหนที่ทำให้คุณประหยัดค่าโฆษณาได้มากขึ้นล่ะ? อะไรจะทำให้คุณยิงโฆษณาแล้วมีคนซื้อสินค้าคุณล่ะ?
บทความนี้คุณจะได้พบกับ 7 เคล็ดลับในการสร้างประสิทธิภาพโฆษณา Facebook ของคุณให้ก้าวไปอีกระดับเทียบเท่ากับบริษัทโฆษณาชั้นนำในประเทศไทย และการสร้างยอดขายที่เติบโตมากขึ้นในแบบที่คุณไม่เคยคาดฝัน
1# สร้าง Sales Funnel
ความแตกต่างระหว่าง Google Adword กับ Facebook Ads คือ ชนิดของทราฟฟิกที่เราจะได้รับ โดยผู้คนที่กดคลิก Google Adwords นั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิด Conversion หรือการซื้อสินค้า ในขณะที่ Facebook Ads นั้นยังอยู่ในหมวดที่เราชื่นชอบ และอาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าโดยทันที และจะเป็นปัญหาในการทำโฆษณา Facebook Ads ถ้าหากคุณมีงบประมาณน้อย รวมถึงการคาดหวัง Interaction ที่จะก่อให้เกิดยอดขาย หรือ Conversion
ดังนั้น แทนที่เราจะสร้างแคมเปญโฆษณาบน Facebook Ads ที่โฟกัสที่การคาดหวังยอดขายเลย เราควรจะใช้เวลาในการสร้าง User Experience อื่นๆก่อนจะเป็นการดีกว่า โดยการสร้างแคมเปญโฆษณาหลายๆ Objective ซึ่งคุณสามารถสร้างเป็น Ads Funnels ต่างๆได้
การสร้าง Engagement Funnel
โดย Engagement Funnel นั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อคุณได้มี Engagement จากโพสเดิมๆของคุณก่อนอยู่แล้ว และถ้าคุณมีคอนเท้นต์ที่เป็นวีดีโออยู่แล้วละก็ คุณมีไพ่ที่เหนือกว่าคนอื่นแล้วล่ะ
ขั้นตอนแรก สร้าง Campaign : Post Engagement ที่เลือกกลุ่มเป้าหมายเป็นแบบเจาะจง จุดประสงค์ของการสร้างแคมเปญนี้คือการสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างคุณกับลูกค้าของคุณ และเริ่มยิงโฆษณาได้เลย
ขั้นตอนที่ 2 สร้าง Campaign : Traffic หรือ Conversion โดยกลุ่มเป้าหมายแบบ Custom Audience โดยเลือกจากคนที่มี Interaction กับเนื้อหาของเพจเรา หรือถ้าหากคุณมีวีดีโอในแคมเปญก่อนหน้านี้ละก็ เลือกกลุ่มเป้าหมายเป็น People who have watched at 25% of your video ได้เลย
ซึ่ง Traffic ที่เกิดขึ้นนั้นมีโอกาสมากกว่าการทำแคมเปญโฆษณาแบบทั่วๆไปในการ Convert Sales
2# ประเมิน Ad Frequency เพื่อประเมินการมองเห็น
Ad frequency คือตัวเลขที่แสดงถึงจำนวนการแสดงผลโฆษณาของคุณต่อ User 1 คน กลุ่มเป้าหมายของคุณมีโอกาสที่จะเห็นโฆษณาของคุณมากกว่า 1 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ากลุ่มเป้ามหายเหล่านั้นเห็นโฆษณาของคุณบ่อยเกินไป พวกเขาก็จะเลิกสนใจโฆษณาของคุณ ทำให้ต้นทุนโฆษณาของคุณสูงขึ้น และเป็นการลดประสิทธิภาพการทำโฆษณา Facebook Ads อีกด้วย
Practical Tips : โดยปกติแล้วต้นทุนต่อคลิกของคุณจะค่อยๆสูงขึ้นหลังจากเริ่มปล่อยแคมเปญโฆษณา ซึ่งให้คุณสังเกต Frequency ของคุณ ถ้ามีค่าเกิน 1.7 เมื่อไหร่ แนะนำให้คุณ Duplicate Adset ออกมาโดยอาจจะแบ่งงบโฆษณาออกเป็น 2 ก้อนเท่าๆกัน แล้วตั้งค่า Audience Targeting ใหม่ใน Adset ที่สอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีการที่จะทำให้ Performance ของแคมเปญโฆษณาของคุณ
3# แบ่งงบประมาณโฆษณาตาม Ad Performance
เมื่อคุณได้เริ่มต้นทำแคมเปญโฆษณาแรกไปแล้ว คุณสามารถทดสอบ performance ได้โดยแยก Ad set ออกเป็นกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม (เหมือน A/B Testing) เพื่อประเมิน Ad set ที่มี Performace ดีที่สุดก่อน เมื่อเราพบผู้ชนะของเราแล้ว ให้เราปิด Ad set อื่นๆได้เลย
Practical Tips : โดยทั่วไปการทดสอบ Winning Performance นั้นจะใช้เวลา 2-3 วัน โดยระบบ Facebook Ads จะมีการประเมินแคมเปญโฆษณาของเรา ที่เรียกว่า Learning Phase Progress และเมื่อเราได้ Winning Ad set มาแล้ว เพื่อผลโฆษณาที่ดีขึ้น เราสามารถเพิ่มงบโฆษณาขึ้นไปอีกซัก 15-20% เพื่อรักษา Performance ในการทำแคมเปญ
4# สร้างกลุ่มเป้าหมายที่แคบลงและเจาะจงมากขึ้น
การหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่นั้นเป็นสิ่งที่เวิร์คที่สุดในการทำแคมเปญโฆษณา ซึ่งถ้าหากคุณไม่มั่นใจในการตั้งกลุ่มเป้าหมายละก็ แนะนำให้ลองใช้ฟังก์ชั่น Facebook Audience Insight เพื่อศึกษากลุ่ม Potential Targeting โดยคุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายไปถึงพฤติกรรมต่างๆของผู้ใช้ Facebook ได้เลย
Practical Tips : ในประเทศไทย การใช้ Narrow Targeting จะมีความคลาดเคลื่อนสูงกว่าในต่างประเทศ แต่ให้ผลตอบรับที่น่าทึ่งกว่าการเลือก Audience Targetig แบบกว้างแน่นอน
5# เลือก Ad Placement ที่เหมาะสมกับการแสดงผล
แน่นอนว่าเมื่อเราสร้างแคมเปญโฆษณามา 1 อัน เราสามารถเลือก Placement ได้หลากหลายเครื่องมือ (Device) หรือ Platform ต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว Facebook จะเลือกให้เราเป็น Automatic Placement มาให้แล้ว
Practical Tips :
- Placement บน Instagram นั้นจะมี Engagement Rate ในคอนเท้นต์ประเภทรูปภาพและวีดีโอ สูงกว่าใน Placement อื่นๆ 30-40%
- Placement บน Messenger จะเหมาะสำหรับการสร้าง traffic และ Conversion โดยเราสามารถเลือก Messenger Ads ต่างหากในการทำแคมเปญโฆษณาได้
- Audience Network Placement ก็เป็นอีกช่องทางในการเพิ่ม Conversion Rate และการคาดหวัง Sales ที่ลึกกว่า Interaction แบบทั่วไป
หรือในบางกรณี การเลือก Placement บนมือถือนั้นก็ส่งผลให้ Performance ลดต้นทุนโฆษณาลงด้วยเช่นกัน เช่น ในกรณีกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะ หรือกลุ่ม Niche โดยเราอาจจะโฟกัสไปที่ Mobile Device แบบ IOS หรือ Android Devices ได้ตามความเหมาะสม
6# เลือก Bidding Option ที่เหมาะกับObjective โฆษณาของคุณ
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย
กรณีทั่วไป Facebook Ads จะรันโฆษณาแบบ Auction ทั่วไป โดยระบบ Facebook Ads นั้นจะทำการเลือก bid และ performance ได้เอง
อย่างไรก็ตาม Facebook Bidding Option เริ่มมีความซับซ้อนขึ้นมากในช่วงปีที่ผ่านมา อันดับแรก คุณต้องระบุให้ชัดเจนว่าคุณใช้ Citeria ตัวไหนในการวัดผลโฆษณาของคุณ ซึ่งแต่ละแคมเปญโฆษณานั้นก็จะมีวัตถุประสงค์ต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณทำแคมเปญโฆษณาแบบ conversion อยู่ คุณสามารถเลือกประเภทของแคมเปญได้หลากหลาย เช่น Landing Page Views หรือ Link Click ได้ ดังนั้นวิธีการกดเลือกปุ่ม select optimizing for clicks until Facebook has sufficient conversion data. หรือถ้าหากคุณต้องการคนมาอ่านบทความบนเว็ปไซต์ของคุณ คุณสามารถเลือกเมนู Optimizing for Engagement ได้
นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่า Bidding ได้ด้วยเช่นกัน โดย Facebook ได้ปรับให้มีการตั้งค่า Bidding 2 แบบ คือ
- Lowest Cost : ซึ่งโดยปกติหากเราตั้งเป็น Range Bidding ระบบโฆษณา Facebook จะตั้งเป็น Maximum Bidding ซึ่งอาจทำให้เราต้องจ่ายแพงขึ้นในการทำแคมเปญโฆษณา ซึ่งถ้าคุณมีประสบการณ์มากพอที่จะประมาณค่า CPC CPE CPM ต่างๆได้ คุณจะสามารถลดต้นทุนโฆษณา Facebook ได้พอสมควรเลย
- Targeting Cost : ซึ่งจะเป็นการตั้งแบบ Manual Bidding ที่ CPC CPE CPM จะไม่ถูกและไม่แพงเกินกว่าราคา Bid ที่เราตั้งไว้มากมาย กรณีนี้ถูกใช้เพื่อจำกัด Performance อันใดอันหนึ่งบน Facebook Ads
7# ใช้คอนเท้นต์เดิมๆในการสร้างแคมเปญโฆษณาได้
Facebook เป็น Social Media ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก อ้างอิงถึงคอนเท้นต์ต่างๆ ถ้าหากเรามีคอนเท้นต์ที่ได้รับความนิยม กดไลค์ กดแชร์ คอมเม้นท์จำนวนมาก นั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่โชคไม่เคยเข้าข้างเราซักเท่าไหร่ หลายครั้งที่เราสร้างแคมเปญโฆษณานั้น เราไม่สามารถมองเห็น Interaction ที่เกิดขึ้นบนโฆษณาของเราได้เลย สิ่งที่จะเหลือเอาไว้ดูต่างหน้าก็คือโพสต์ที่อยู่ในเพจ ดังนั้น การโปรโมทโพสต์บนเพจของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลย เพราะนอกจาก Performance ที่เราจะนำไปศึกษาแล้ว ผู้ใช้ Facebook ของก็อยากจะเห็นโพสต์ที่ผู้คนชื่นชอบ เพื่อความมั่นใจของตัวเองในการเสพเนื้อหาจากเพจของคุณ หรือแม้กระทั่งซื้อสินค้าจากเพจของคุณก็ตาม
สรุป
อย่างที่เราทราบกันดีกว่า Facebook มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากหรือน้อยก็ตาม กลยุทธ์การใช้สื่อก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้ รวมถึงการทดสอบโมเดลใหม่ๆ และการพัฒนาทั้งตัวแคมเปญโฆษณาของคุณ และทักษะของคุณเอง